#ทำไมการเลี้ยงลูกเชิงบวกจึงไม่ค่อยได้ผล
#ทำไมการเลี้ยงลูกเชิงบวกจึงไม่ค่อยได้ผล แม่เอ๋พาลูกไปต่างจังหวัดมา อากาศร้อนมาก ก็เลยพาลูกสาวเดินไปหลบแดดในร่มเพื่อรอพลพรรคนักช้อปมีคุณแม่คนหนึ่งมากับลูกสาววัยประมาณ 5 ขวบที่ร้องไห้อยู่ คุณแม่ก็ก้มลงปลอบดีมาก แล้วจูงมือเดินผ่านแม่เอ๋กับลูกพอจะผ่านคุณแม่ก็เหลือบมองยายแป้นแล้นของแม่เอ๋ แล้วพูดว่า“ร้องทำไม เห็นไหมน้องเขายังไม่ร้องเลย ...”น้องคนนั้นเลยสะอื้นต่อ
_____________________ _ _ _
_____________________ _ _ _
บางครั้งเรารู้นะคะว่าถ้าจะเลี้ยงลูกเชิงบวก ต้องทำอย่างไร บางคนก็อ่านมาเยอะ รู้หลักทฤษฏีมากมายแต่จากที่สังเกต สิ่งที่ทำให้การเลี้ยงลูกเชิงบวกไม่ค่อยได้ผล ทั้งๆ ที่ก็ควรจะได้ผล ก็มี
1.) #เราลืมและเผลอเผลอทำตามที่เราคิด ตามความเคยชิน ที่เคยได้ยินคนรุ่นก่อนๆ หรือคนอื่นๆ ทำมา หรือจากประสบการณ์ที่โดนเลี้ยงดูมา ก็เลยเผลอขู่ เผลอเปรียบเทียบ เผลอดุแรงๆ และตี.
2.) #มั่นใจไม่พอจะเลี้ยงลูกเชิงบวก ต้องหนักแน่นและมั่นใจ เมื่ออยู่ในสังคมที่คนรอบข้างส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เมื่อลูกทำผิด หลายเสียงบอกว่าต้องตีซิถึงจะจำ หรือ "เค้า" บอกว่า ไม่ตีต่อไปจะ “ควบคุม” ลูกได้อย่างไร ลูกจะเป็นเทวดานะ ถ้าไม่มั่นใจในวิธีเลี้ยงลูกเชิงบวก นี่มีเขวนะคะ.
3.) #ทำไม่สม่ำเสมอคำพูดและวิธีทำ ต้องเป็นบวกแบบเดียวกันอย่างสม่ำเสมอไม่ใช่วันนี้ตี แต่พรุ่งนี้ “โอ๋ๆ แม่เข้าใจนะว่า...” ไม่เวิร์คค่ะ ถ้าจะเลี้ยงลูกเชิงบวก ต้องมี “สติและเมตตา” มากๆ แล้วทำให้สม่ำเสมอ.
4.) #ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้จะบวกได้อย่างไรคะ ในขณะที่ปรี๊ดปรอทแตกอยู่ข้างในน้องสาวแม่เอ๋เคยเตือนว่า “อย่าดุลูกตอนโกรธ” ใช่เลยค่ะนับค่ะนับ!! ฝึกควบคุมอารมณ์ตัวเองก่อนนับ 1-5 ข้าๅ นับไป หายใจไป (ใครที่เคยฝึกหายใจตอนคลอดลูก งัดกลับมาใช้ใหม่)ปรอทจะค่อยๆ หล่นลงมา แล้วค่อยสอนทำไม่ทัน ขอ*เวลานอก*กับลูกก่อนค่ะ“หม่าม๊าเริ่มโกรธแล้วนะ ขอเวลาก่อน เดี๋ยวค่อยคุยกัน”.
5.) #หนักแน่นไม่พอการเลี้ยงลูกเชิงบวก ไม่ใช่ตามใจ ปล่อยหรือใจดีกับลูกพ่อแม่ต้องหนักแน่นในสิ่งที่ควร เช่น เรื่องระเบียบวินัย เรื่องมารยาท และอีกหลายๆ อย่างต้องไม่กลัวที่จะบอกลูกว่า “ไม่ได้”ยิ่งลูกโตขึ้น เชื่อเถอะค่ะว่าลูกจะคอยทดสอบเราอยู่เรื่อยๆ อะไรที่ไม่ควรให้หรือปล่อย ก็ต้องหนักแน่นไว
เพราะถ้าปล่อยและทำไม่สม่ำเสมอนอกจากจะไม่ได้ผล เราจะได้ลูกที่เอาแต่ใจตนเองแทน.
เพราะถ้าปล่อยและทำไม่สม่ำเสมอนอกจากจะไม่ได้ผล เราจะได้ลูกที่เอาแต่ใจตนเองแทน.
6.) #เห็นไม่ตรงกันระหว่างพ่อแม่พ่อและแม่เป็นทีมเดียวกัน หากแตกทีมเมื่อไหร่ การเลี้ยงลูกจะยากมากเด็กรับรู้ได้ว่าคนไหนใจดีกว่า แล้วจะเอาคนนั้นเป็นพวกและต่อรองอย่าขัดกันต่อหน้าลูก หากเห็นไม่ตรงกันค่อยคุยกันลับหลังลูก.
7.) #คนรอบข้างทำให้ยากพ่อและแม่อยากจะเลี้ยงลูกเชิงบวก แต่มีคนโอ๋และตามใจอยู่รอบตัวเด็ก นี่ยากนะคะส่วนจะแก้ยังไง นี่แล้วแต่แต่ละบ้านค่ะ แฮ่ะๆ เรื่องนี้พูดยากมาก.
8.) #ภาษาไม่ใช่ของเราแม่เอ๋สังเกตว่า คำพูดกับลูกแบบเชิงบวกที่อ่านๆ กันนี่ มาจากตำราภาษาอังกฤษ โดยใช้คำที่ฝรั่งเขาพูดกันเป็นปกติ“I understand…” “I see that you…”ที่ง่ายสำหรับเขา แล้วเรามาเปลี่ยนเป็น“แม่เข้าใจเลยนะลูกที่...”ซึ่งเราโตมา ไม่เคยได้ยินใครพูดกับเราแบบนี้เลย ก็เลยยากที่จะพูดกับลูกหาภาษาและคำที่เราและลูกเข้าใจกันค่ะ“แหมลูกหมา แม่ก็รู้นะว่าเอ็งอยากได้เลยงอแง แต่รอนิดได้มะ”
9.) #ความสัมพันธ์กับลูกไม่ดีจะใช้วิธีเลี้ยงลูกเชิงบวกได้ ใจต้องมาก่อนถ้าเคยแต่สั่งให้ลูกทำ ดุหรือบ่นว่า ใช้อำนาจเพื่อควบคุมลูก ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ที่ดี จะเลี้ยงเชิงบวกยากมากเลี้ยงลูกให้ใกล้ชิด ให้เวลาและเล่นกับลูกให้มาก #ให้ได้ใจลูก แล้วเวลาที่จะใช้วิธีเชิงบวก ลูกจะฟังเรามากกว่า.
10.) #เพ่งเล็งแต่ข้อบกพร่องของลูกพ่อแม่หลายคนคอยคิดถึงแต่สิ่งที่อยากจะแก้ไขในตัวลูก โดยลืมสิ่งดีๆ อีกหลายอย่างที่ลูกมีจึงคอยแต่จะอบรมและฝึกในเรื่องนั้นๆ ทำให้ความสัมพันธ์กับลูกไม่ดีชมพฤติกรรมดีๆ ให้มากกว่าบ่นว่าหรืออบรมพฤติกรรมแย่ๆ นะคะ.อ่านแล้วใช่ไหมคะ?คิดว่าข้อไหนยากที่สุด??พอรู้ว่าสาเหตุคือข้อไหน ก็ลองปรับแก้ดูนะคะถ้าอยากเลี้ยงลูกเพื่อให้คิดเป็น การเลี้ยงลูกเชิงบวกควรจะได้ผลด้วย #แม่เอ๋เพจเลี้ยงลูกให้คิดเป็นปล. แล้วพออีกวันยายแป้นแล้นก็งอแงมากตอนพาไปทานข้าวเย็นกับญาติๆ ทดสอบอารมณ์แม่อันไม่ค่อยมั่นคงเพราะกำลังเหนื่อยยิ่งนัก Credit: Free image from Pixabay
Cr.เพจเลี้ยงลูกให้คิดเป็น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น